(1) การประมาณค่าช่วง เปลี่ยนจากข้อมูลจุดเป็นข้อมูลกริด
(2) การสร้างโครงข่ายสามเหลี่ยม TIN โดยการประมาณค่าช่วงมีหลักการในการเปลี่ยนจากข้อมูลจุดให้เป็นข้อมูลกริด โดยใช้วิธีการแทรกค่า คือ จะนำค่าที่ได้จากข้อมูลจุดมาผ่านกระบวนการ เช่นการหาค่าเฉลี่ยจากจุดที่อยู่โดยรอบ เพื่อที่จะนำจุดแทรกไปยังพื้นที่ที่ไม่มีค่า
ในการประมาณค่าช่วงมีหลายวิธีแต่ละวิธีก็จะเหมาะกับข้อมูลที่แตกต่างกัน
1. IDW หลักการ คือ ใช้การสุ่มจำนวนจุดตัวอย่างที่อยู่โดยรอบ ณ Pixel ที่ต้องหารจะแทรกค่า เหมาะกับข้อมูลที่สัมพันธ์กับระยะทาง เช่น ความดังของเสียง ความเข้มข้นของสารเคมี
2. Natural neighbors จะสร้าง Polygon ล้อมรอบจุดตัวอย่าง ข้อมูลที่เหมาะจะต้องเป็นข้อมูลที่ไม่กระจายตัวสม่ำเสมอ
3. Spline ลักษณะการแทรกค่าจะมีความคดโค้งไปตามความสูงต่ำของข้อมูล คือ มีความราบเรียบ ต้องเป็นข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป มี 2 แบบ ได้แก่ Regularized และ Tention
4. Kriging เป็นการประมาณค่าช่วงแบบขั้นสูง ทำการซุ่มจุดแล้วทำการสร้างสมการ และจะเลือกสมการที่ดีทีสุด ความแม่นยำและถูกต้อง 5.Trend เป็นพีชคณิต เป็นสมการยกกำลัง หลักการแบบเหมือนเอาแผ่นกระดาษวางบนข้อมูล ข้อมูลที่ได้มักจะราบเรียบ ช่วยในเวลาพื้นที่เป็นแอ่ง หุบเขา ตัวเลขยกกำลังนำมาช่วยกำหนดให้คล้าย ๆ กับข้อมูลจริง ๆ มีแอ่งหนึ่งที่เลขที่ใส่ลงไปเป็นเลขยกกำลังจะเป็น 2 เพราะ 1 แห่ง
6. Topo to Raster วิธีนี้จะทำการเลือกสมการทางคณิตศาสตร์ที่เหมาะสมโดยการระบุลำดับของพีชคณิต (Polynomial) ให้กับจุดตัวอย่างทั้งหมด ใช้ข้อมูลมากกว่าข้อมูลจุด ใช้ข้อมูลหลายชั้นข้อมูล เหมาะกับการเอามาสร้างแบบจำลองอุทกศาสตร์
การประมาณค่าช่วงด้วยวิธีการ IDW (Inverse Distance Weight)
สร้าง Folder ที่จะเก็บงานที่วิเคราะห์ ขึ้นมาหนึ่ง Folder ตั้งชื่อว่า Inter_ชื่อ(Inter_Patthra) เก็บไว้ใน RTArcGIS
จากนั้นไปที่ Folder KANCHANABURI >> Kanburi >> SPOT แล้วเปิดข้อมูลจุดที่ชื่อว่า SPOT ออกมา
ข้อมูลที่จะนำมา Interpolate หรือประมาณค่าช่วงจะต้องเป็นข้อมูลจุดเท่านั้น
จากนั้นเช็คในตาราง Attribute ว่าเก็บข้อมูลอะไรไว้เพราะหลักการในการประมาณค่าช่วงจะต้องเลือก Field ที่เก็บค่าตรงกับที่ต้องการแล้วนำมาประมาณค่าโดยสามารถเลือกได้ครั้งละ 1 Field เท่านั้นมาทำการประมาณค่าช่วงในแต่ละครั้ง ณ ที่นี้ Field ที่สนใจคือ ELEVATION Field นี้จะเก็บข้อมูลความสูงไว้
ต่อไปเป็นการประมาณค่าจาก Field ELEVATION โดยไปที่ ArcToolbox >> Spatial Analyst Tool >> Interpolation >> เปิดคำสั่ง IDW ออกมา
จะปรากฏหน้าต่างการประมาณค่าช่วงโดยวิธี IDW ขึ้นมา
ในช่องแรก Input Point Features ให้ Input ข้อมูลจุด ในที่นี้คือข้อมูล SPOT ในช่อง Z Value field คือค่า Z หรือค่าที่จะมาใช้ในการ Interpolate ในที่นี้เลือก Field ที่ชื่อว่า Elevation ช่อง Output Raster คลิกที่รูป Folder เข้าไปตั้งชื่อ (IDW) เก็บไว้ใน Folder ที่สร้างไว้ ช่อง Out cell zise (optional) คือขนาดของ Pixel ที่ต้องการ ในที่นี้คือ 40 จากนั้นตรง Seach radius settings คือการกำหนดระยะทางหรือจำนวนจุดในวิเคราะห์ ช่องแรกคือ Number of Point : คือกำหนดจุดที่จะนำมาใช้ในการแทรกค่า หรือช่อง Maximum Distance : กำหนดเป็นระทาง จากจุดหรือ Pixel ที่ต้องการจะแทรกค่า จากนั้นกด OK จะปรากฏผลที่ได้จากการ Interpolate
จะสังเกตุได้ว่าผลลัพธ์ที่ได้จะถูกสร้างเป็นสี่เหลี่ยมตามจุดที่อยู่ไกลที่สุดในแต่ละด้าน ซึ่งถ้าจะตัดให้เป็นขอบเขตจังหวัด จะต้องเซตค่าให้มีรูปร่างลักษณะตามพื้นที่ศึกษาตั้งแต่ตอนประมาณค่าโดยการกำหนดขอบเขตและค่ามาร์สสำหรับชั้นในการประมาณค่าช่วง ไปที่ KANCHANBURI >> Kanburi >> PROVINCE เปิด PROVINCE ออกมา
จากนั้นไปที่หน้าต่าง IDW ตั้งค่าเหมือนเดิม ส่วนช่อง Output ให้ตั้งชื่อเป็น IDW2 จากนั้นไปคลิกที่ Environments
ค่าที่จะต้องเซตมีอยู่ 2 ที่ คือ 1. Processing Extent เป็นการกำหนดขอบเขต ไปที่ Extent เลือก Same as Layer Province หมายความว่า ต้องการจะให้รูปร่างลักษณะของ Output มีลักษณะรูปร่างเหมือนกับ Province ในหน้าที่เปิดมา เพราะฉะนั้นขอบเขตที่ได้มาจะเหมือนกับตัวจังหวัด2. Raster Analysis จากนั้นไปที่ Mask แล้วเลือก Province
จากนั้นก็กด OK >> OK คลิกปิด IDW ในแถบ Table of Contents ออกไป ก็จะได้ดังรูป
การประมาณค่าช่วงด้วยวิธี Natural Neighbors
ไปที่ ArcToolbox >> Spatial Analyst Tools >> Interpolation >> Natural Neighbors
จะปรากฎหน้าต่าง Natural Neighbors ขึ้นมา
ช่อง Input point features เลือก spot ช่อง Z value field เลือก ELEVATION ช่อง Output Raster คลิกที่รูป Folder เข้าไปตั้งชื่อ (Natural) เก็บไว้ใน Folder ที่สร้างไว้ ช่อง Out cell size (optional) คือขนาดของ Pixel ที่ต้องการ ในที่นี้คือ 40 จากนั้นไปกดที่ Environment ด้านล่าง
จากนั้นกด OK >> OK จากนั้นจะปรากฎผลลัพธ์จากการประมาณค่าช่วงด้วยวิธี Natural Neighbors
ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จะตีกรอบหรือขอบเขตบางจุด จะไม่สร้างขอบเขตจังหวัดให้เรา แต่พื้นผิวจะมีความราบเรียบมากกว่าวิธี IDW ค่าที่ได้ใกล้เคียงกับค่าจริง แต่ขอบเขตหรือพื้นที่บางส่วนบางส่วนจะขาดหายไป
การประมาณค่าช่วงด้วยวิธี Spline
แบ่งออกเป็น 2 วิธี
1. Splin regularized ไปที่ ArcToolbox Spatial >> Analyst Tools >> Interpolation >> Spline จะปรากฎหน้าต่าง Spline ขึ้นมา
จากนั้นในช่อง Input point features เลือก spot ช่อง Z value field เลือก ELEVATION ช่อง Output raster คลิกที่รูป Folder เข้าไปตั้งชื่อ (Spilne) เก็บไว้ใน Folder ที่สร้างไว้ ช่อง Output cell size ให้กำหนดตัวเลข 40 ช่อง Spline type เลือกเป็น Regularized จากนั้นไปกดที่ Environment แล้วทำการเซตค่าเหมือนเดิม เมื่อทำการเซตค่าทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว กด OK >> OK จะปรากฏผลลัพธ์จากการประมาณค่าช่วงแบบ Splin regularized ออกมาดังภาพด้านล่าง
Splin regularized เป็นเทคนิคที่ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มีความเรียบและค่าของข้อมูลมีการเพิ่มขึ้นหรือลดลงแบบค่อยเป็นค่อยไป
2. Spline Tension ไปที่ ArcToolbox Spatial >> Analyst Tools >> Interpolation >>Spline
จากนั้นในช่อง Input point features เลือก spot ช่อง Z value field เลือก ELEVATION ช่อง Output raster คลิกที่รูป Folder เข้าไปตั้งชื่อ (Sp_Ten) เก็บไว้ใน Folder ที่สร้างไว้ ช่อง Output cell size ให้กำหนดตัวเลข 40 ช่อง Spline type เลือกเป็น Tension จากนั้นไปกดที่ Environment แล้วทำการเซตค่าเหมือนเดิม เมื่อทำการเซตค่าทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว กด OK >> OK จะปรากฏผลลัพธ์จากการประมาณค่าช่วงแบบ Splin Tention ออกมาดังภาพด้านล่าง
ลักษณะการจัดกลุ่มข้อมูล แบบ Tention จะแบ่งชัดเจนกว่า แต่แบบ regularized จะไล่ระดับค่าของข้อมูล regularized จะมีระดับความราบเรียบมากกว่าแบบ Tention Tention จะให้ผลลัพธ์ได้ดีและใกล้เคียงกว่า regularized
ไปที่ ArcToolbox >> Spatial Analyst Tools >> Interpolation >> Kriging จะปรากฎหน้าต่าง Kriging ให้จัดการเซตค่าเหมือนเดิม และตั้งชื่อเป็น Kriging แล้วเข้าไปเซตค่า Environment เหมือนเดิม แล้วก็ OK
จากนั้นจะปรากฏผลลัพธ์จากการประมาณค่าช่วงแบบ Kriging ดังภาพด้านล่าง
ถ้าซูมเข้าไปจะเห็นได้ว่าพื้นผิวจะเป็นเส้นๆเป็นลักษณะหยาบกระด้าง
การประมาณค่าช่วงด้วยวิธี Trend
ไปที่ ArcToolbox >> Spatial AnalystTools >> Interpolation >>Trend ให้จัดการเซตค่าเหมือนเดิม และตั้งชื่อเป็น Trend และที่ช่อง Polynomial (ใส่เลขที่เราต้องการยกกำลังซึ่งสูงสุดคือ 12) ในที่นี้เลือกใส่ 1 แล้วเข้าไปเซตค่า Environment เหมือนเดิม
แล้วก็ OK จะปรากฏผลลัพธ์ที่ยกกำลัง 1
ต่อไปทำการใส่ยกกำลังเป็น 2 เข้าไปที่ Trend แล้วทำการเซตค่าเหมือนเดิม และตั้งชื่อเป็น Trend_2 ที่ช่อง Polynomial ในที่นี้เลือกใส่ 2 แล้วเข้าไปเซตค่า Environment เหมือนเดิม
แล้วก็ OK จะปรากฏผลลัพธ์ที่ยกกำลัง 2 จะต่างจากอันแรกที่ไม่ได้ใส่ค่ายกกำลัง
ต่อไปทำการใส่ยกกำลังเป็น 12 เข้าไปที่ Trend แล้วทำการเซตค่าเหมือนเดิม และตั้งชื่อเป็น Trend_12 ที่ช่อง Polynomial ในที่นี้เลือกใส่ 12 แล้วเข้าไปเซตค่า Environment เหมือนเดิม
แล้วก็ OK จะปรากฏผลลัพธ์ที่ยกกำลัง 12 ลักษณะของกลุ่มข้อมูลเริ่มใกล้เคียงกัน
การประมาณค่าช่วงด้วยวิธี Topo to Raster
จะต่างจากการ Interpolate ทุกวิธีที่ผ่านมา คือ ทุกวิธีที่ผ่านมาจะใช้เฉพาะข้อมูลจุดมาทำการประมาณค่า แต่ในการทำ Topo to Raster จะใช้ตัวแปรหลาย ๆ ตัวแปร โดยตัวแปรที่สามารถนำมาใช้ทำ Topo to Raster ได้จะมี 6 ตัวแปร คือ 1. ข้อมูลจุดความสูง 2. contour เส้นชั้นความสูง 3. Stream เส้นทางน้ำ 4. Lake ทะเลสาบ,บ่อน้ำ 5. Sink บ่อ,หลุม 6. Boundary ขอบเขต แต่ไม่จำเป็นต้องใช้ครบทั้ง 6 ตัวแปรก็ได้ แต่ตัวแปรที่ขาดไม่ได้ในการทำ Topo to Raster คือ contour เส้นชั้นความสูง
ไปที่ ArcToolbox >> Spatial Analyst Tools >> Interpolation >> Topo to Raster จะปรากฎหน้าต่าง Topo to Raster ขึ้นมา
ลากข้อมูลในจังหวัดกาญจนบุรีที่มีข้อมูล
6 ตัวแปรมาเปิด ได้แก่ contour ,
stream , spot , province ขาด Sink กับ Lake
จากนั้นทำการเซตค่า ในช่อง Input feature data ให้ลากตัวแปร (ชั้นข้อมูล) เข้ามา มี contour , stream , spot , province ในข้อมูล spot ที่ช่อง Field เปลี่ยนเป็น ELEVATION ในช่อง Type เปลี่ยนเป็น Point ELEVATION ต่อไปตัวแปรที่ 2 คือ Contour จากนั้นไปที่ตัวแปร stream เส้นทางน้ำ ตัวแปรที่ 3 Stream ในช่องType เปลี่ยนเป็น Stream ตัวแปรที่ 4 เปลี่ยนตรง Type เป็น Boundary จากนั้นที่ช่อง Outputsurface ก็เข้าไปตั้งชื่อ (Topo) แล้ว Save ใส่ Folder ที่เราสร้างไว้ และช่อง Output cell size ให้กำหนดตัวเลข 40
ผลลัพธ์ที่ได้
ผลลัพธ์ที่ได้เมื่อคลิกข้อมูลอื่นออกหมดออกเหลือเพียงตัว topo
การสร้างโครงข่ายสามเหลี่ยม (Triangulated Irregular Network: TINs)
ในการสร้างโครงข่ายสามเหลี่ยมจะเป็นรูปร่างของพื้นผิวชนิดหนึ่ง เป็นโครงข่ายสามเหลี่ยมที่เป็นข้อมูล Vecter ซึ่งใช้ในการแสดงลักษณะพี้นผิว โดย TINs หรือแบบโครงข่ายสามเหลี่ยมจะประกอบไปด้วย Node คือ จุด จะเก็บค่า z หรือค่าความสูง โดยแต่ละ Node จะมีเส้นเชื่อมโยงพื้นผิวของโครงข่ายสามเหลี่ยมกันเป็นลักษณะของสามเหลี่ยม โดยแต่ละสามเหลี่ยมที่เชื่อมโยงจะสร้างตัวพื้นผิวขึ้นมา เพราะฉะนั้นลักษณะก็จะเป็นเหลี่ยม ๆ ต่อกันเป็นพื้นผิวหรือข้อมูล TINs จะมีลักษณะพิเศษ คือ ความถูกต้องจะสูงมาก ขนาดของ File จะใหญ่กว่าตัว Raster อื่นๆ และมีต้นทุนในการทำสูง ผลลัพธ์ที่ได้มักจะเอาไปใช้กับที่ต้องการความถูกต้องสูงเช่นงานวิศวะกรรม งานก่อสร้าง งานที่ใช้สร้างแบบจำลองต่าง ๆ
ไปที่ ArcToolbox >> 3D Analyst Tools >> Tin Management >> Create TIN จะปรากฎหน้าต่าง Create TIN ขึ้นมา ช่อง Output TIN เข้าไปตั้งชื่อ(TIN) เก็บไว้ใน Folder ที่สร้างไว้
ช่อง Input feature class นำspot , stream , contour, province มาใส่
ตัวแปร spot ในช่อง Height Field เลือกเป็น ELEVATION ในช่อง SF Type เลือกเป็น Mass_Point ในช่อง Tage Field เลือกเป็น ELEVATION
ตัวแปร contour ในช่อง Height Field เลือกเป็น ELEVATION ในช่อง SF Type เลือกเป็น Hard_Line ในช่อง Tage Field เลือกเป็น <None> ตัวแปร stream ในช่อง Height Field เลือกเป็น <None> ในช่อง SF Type เลือกเป็น Soft_Line ในช่อง Tage Field เลือกเป็น <None> ตัวแปร province ในช่อง Height Field เลือกเป็น <None> ในช่อง SF Type เลือกเป็น Hard_Line ในช่อง Tage Field เลือกเป็น <None>
เซตค่าเรียบร้อยแล้วก็ OK
เมื่อซูมเข้าไปดูก็จะเห็นได้ว่าข้อมูล TINsที่ได้มาจะเป็นเหลี่ยมๆต่อกัน
ทำการเอาเส้นEdgeที่บังพื้นผิวออก โดยคลิกขวาที่ TINs >> Properties… จากนั้นไปที่ Symbology แล้วไปติ๊กที่ Edge Types ออก
แล้ว OK เส้นก็จะหายไป

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น